พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ เป็นทั้งกวี นักดนตรีและนักแต่งเพลง ที่มีชื่อเสียง ในช่วงทศวรรษ 2520 – 40 ฝีไม้ลายมือและชั้นเชิงทางดนตรีของเป็นที่ยอมรับกันว่า มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝีไม้ลายลายมือในการประดิษฐ์คำ จากประสบการณ์ของชีวิตในช่วงของการปฏิวัติประชาชน ที่ทำให้เขามีโอกาสคลุกคลีกับชาวบ้านในเขตป่าเขา อีกทั้งประสบการณ์ทางดนตรีเมื่อครั้งที่ยังร่วมงานอยู่กับ คาราวาน, คาราบาว และ ซูซู ได้ต่อยอดให้เขานำเอาดนตรีพื้นบ้านมาปรับใช้ในงานเพลง จนได้รับคำยกย่องว่าเป็น “กวีศรีชาวไร่” จาก “นายผี” กวี นักคิด นักเขียนคนสำคัญ
แม้ว่า พงษ์เทพ จะผลิตงานในช่วงที่คาบเกี่ยวกับศิลปินเพื่อชีวิตอื่นๆ คือ คาราวานและคาราบาว ที่เป็นหลักในวงการ แต่ความแตกต่างของพงษ์เทพที่เห็นได้ชัดก็คือ ความเป็นนักเล่าเรื่อง (Narrator) ความแจ่มชัดนี้ฉายให้เห็นในภาคการแสดงดนตรีสดทุกครั้งของเขา รวมถึงในเนื้อหาของบทเพลงที่มีความประณีต คุณลักษณะของการเล่าเรื่องนี้จึงถูกจัดประเภทว่าเป็นเพลงที่เรียกว่า “บัลลาด” (Ballad) แบบตะวันตก
ผู้เขียนได้หยิบยกบทเพลงที่นำมาศึกษาในครั้งนี้ จากการคัดอัลบั้มเพลงชุด ‘เหงา เศร้า ฝัน’ (2536) 4 บทเพลง คือ บทเพลงชื่อ ‘เด็กหญิงปรางค์’, ‘แม่’, ‘ลิงทะโมน’ จัดอยู่ในกลุ่มตามชื่ออัลบั้ม และเพลง ‘เฉย’ คงมีทั้งส่วนที่เหงาและเศร้าปะปนกัน แม้เพลงที่เลือกจะไม่ใช่เพลงที่ผู้เขียนชอบมากที่สุด แต่เพลงที่มีคุณลักษณะเด่นของการเล่าเรื่อง อันเป็นทางหรือลักษณะเฉพาะของ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ในการประพันธ์เพลง
อนึ่งการจัดประเภทของงานเพลงของ พงษ์เทพ ตามแนวทางของศิลปะอาจจะเทียบได้กับ แนวทางศิลปะเป็นแบบ อิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism) เอาความประทับใจ และเศร้าสะเทือนใจ มาใช้ในการสร้างสรรค์ผลงาน ความน่าสนใจประการหนึ่ง ที่ผู้เขียนสนใจการเล่าเรื่องในบทเพลงก็คือ ข้อจำกัดของความยาวเพลง ในยุคอุตสาหกรรมวัฒนธรรม ความยาวจะไม่มาก เฉลี่ยตกอยู่ประมาณ 3.00 นาที ไม่เหมือนเพลงไทยเดิมประเภท เพลงเถาหรือเพลงตับ ทำให้การเล่าเรื่องต้องมีความกระชับมากที่สุด รวมถึงความแตกต่างไปจากการเล่าเรื่องในสื่อสารมวลชนอื่นๆ เช่น ภาพยนตร์หรือละครอีกด้วย
ในการวิเคราะห์จะแสดงผ่านเนื้อร้องตามลำดับเพลงที่เลือกเอาไว้คือ ‘เด็กหญิงปรางค์’, ‘แม่’, ‘ลิงทะโมน’ และ ‘เฉย’ ร่วมกับการใช้กรอบแนวคิดขนบ (Convention) เรื่องเล่าของ จอห์น คาเวลติ John Cawelti 1971 ในตอนท้าย ประกอบการวิเคราะห์ดังต่อไปนี้
แม้ว่า พงษ์เทพ จะผลิตงานในช่วงที่คาบเกี่ยวกับศิลปินเพื่อชีวิตอื่นๆ คือ คาราวานและคาราบาว ที่เป็นหลักในวงการ แต่ความแตกต่างของพงษ์เทพที่เห็นได้ชัดก็คือ ความเป็นนักเล่าเรื่อง (Narrator) ความแจ่มชัดนี้ฉายให้เห็นในภาคการแสดงดนตรีสดทุกครั้งของเขา รวมถึงในเนื้อหาของบทเพลงที่มีความประณีต คุณลักษณะของการเล่าเรื่องนี้จึงถูกจัดประเภทว่าเป็นเพลงที่เรียกว่า “บัลลาด” (Ballad) แบบตะวันตก
ผู้เขียนได้หยิบยกบทเพลงที่นำมาศึกษาในครั้งนี้ จากการคัดอัลบั้มเพลงชุด ‘เหงา เศร้า ฝัน’ (2536) 4 บทเพลง คือ บทเพลงชื่อ ‘เด็กหญิงปรางค์’, ‘แม่’, ‘ลิงทะโมน’ จัดอยู่ในกลุ่มตามชื่ออัลบั้ม และเพลง ‘เฉย’ คงมีทั้งส่วนที่เหงาและเศร้าปะปนกัน แม้เพลงที่เลือกจะไม่ใช่เพลงที่ผู้เขียนชอบมากที่สุด แต่เพลงที่มีคุณลักษณะเด่นของการเล่าเรื่อง อันเป็นทางหรือลักษณะเฉพาะของ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ในการประพันธ์เพลง
อนึ่งการจัดประเภทของงานเพลงของ พงษ์เทพ ตามแนวทางของศิลปะอาจจะเทียบได้กับ แนวทางศิลปะเป็นแบบ อิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism) เอาความประทับใจ และเศร้าสะเทือนใจ มาใช้ในการสร้างสรรค์ผลงาน ความน่าสนใจประการหนึ่ง ที่ผู้เขียนสนใจการเล่าเรื่องในบทเพลงก็คือ ข้อจำกัดของความยาวเพลง ในยุคอุตสาหกรรมวัฒนธรรม ความยาวจะไม่มาก เฉลี่ยตกอยู่ประมาณ 3.00 นาที ไม่เหมือนเพลงไทยเดิมประเภท เพลงเถาหรือเพลงตับ ทำให้การเล่าเรื่องต้องมีความกระชับมากที่สุด รวมถึงความแตกต่างไปจากการเล่าเรื่องในสื่อสารมวลชนอื่นๆ เช่น ภาพยนตร์หรือละครอีกด้วย
ในการวิเคราะห์จะแสดงผ่านเนื้อร้องตามลำดับเพลงที่เลือกเอาไว้คือ ‘เด็กหญิงปรางค์’, ‘แม่’, ‘ลิงทะโมน’ และ ‘เฉย’ ร่วมกับการใช้กรอบแนวคิดขนบ (Convention) เรื่องเล่าของ จอห์น คาเวลติ John Cawelti 1971 ในตอนท้าย ประกอบการวิเคราะห์ดังต่อไปนี้
เด็กหญิงปรางค์
*เนื้อเพลง* ขยะในถังที่ตั้งริมทาง เด็กหญิงปรางค์ กำลังคุ้ยเขี่ย เป็นประจำหน้าบ้านผัวเมีย ที่นั่งดูเหมือนพลเมืองดี ยังไม่รู้จะได้อะไร เปลือกลำไยหรือซองบุหรี่ อยากจะได้หุ่นยนต์ดีๆ หนูอยากจะมีน้องตุ๊กตา ถ้าได้ฝันจะรีบเอาไป อวดวินัย ลูกชายของป้า ถ้าแขนไม่ครบ ไม่มีลูกตา จะให้ลุงมาช่วยเสริมเติมแต่ง
*ขยะในถังตั้งอยู่ในใจ ที่ใสสะอาดวาดต่อเติม เพิ่มความฝันทุกวันเวลา ตุ๊กตานำทางไปทั่ว ตามซอกซอยของเมืองมัวๆ มือน้อยๆ ค่อยๆ คุ้ยเขี่ย (ซ้ำ*)
*เนื้อเพลง* ขยะในถังที่ตั้งริมทาง เด็กหญิงปรางค์ กำลังคุ้ยเขี่ย เป็นประจำหน้าบ้านผัวเมีย ที่นั่งดูเหมือนพลเมืองดี ยังไม่รู้จะได้อะไร เปลือกลำไยหรือซองบุหรี่ อยากจะได้หุ่นยนต์ดีๆ หนูอยากจะมีน้องตุ๊กตา ถ้าได้ฝันจะรีบเอาไป อวดวินัย ลูกชายของป้า ถ้าแขนไม่ครบ ไม่มีลูกตา จะให้ลุงมาช่วยเสริมเติมแต่ง
*ขยะในถังตั้งอยู่ในใจ ที่ใสสะอาดวาดต่อเติม เพิ่มความฝันทุกวันเวลา ตุ๊กตานำทางไปทั่ว ตามซอกซอยของเมืองมัวๆ มือน้อยๆ ค่อยๆ คุ้ยเขี่ย (ซ้ำ*)
ในเพลงนี้จะพบชุดคำ 3 ชุด ดังนี้
-เมือง ( ถังขยะ ริมทาง หน้าบ้าน พลเมือง ซอกซอย เมือง)
-ขยะ (ขยะ คุ้ยเขี่ย เปลือกลำไย ซองบุหรี่ หุ้นยนต์ ตุ๊กตา)
-ตัวละคร (เด็กหญิงปรางค์ ผัว-เมีย ‘น้องตุ๊กตา’ วินัย ป้า ลุง)
คำในวงเล็บประกอบขึ้นเป็นชุดคำที่แสดงหนึ่งความคิดหลัก หลายๆ ความคิดหลัก ประกอบขึ้นเป็นเนื้อหาบทเพลง แต่ละความคิดหลักจะมีความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
เมืองนี้เป็นเมืองมัวๆ มีถังขยะเป็นลักษณะของเมือง มี ‘พลเมืองดี’ นั่งดูเด็กคุ้ยเขี่ยถังขยะ (ในเพลงใช้คำว่าดูเหมือน การอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น ไม่สามารถแน่ใจว่า เป็นพลเมืองดีหรือไม่ เป็นได้แค่ดูคล้าย) การมีเด็กคุ้ยเขี่ยถังขยะนั้นไม่ควรจะเป็นความปกติของเมือง กริยา ‘คุ้ยเขี่ย’ นอกจากจะใช้กับคนที่จำเป็นจะต้องไปเก็บของจากกองขยะเพื่อนนำไปขายต่อ เพื่อเป็นรายได้ยังชีพแล้ว คำนี้ยังเป็นกริยาของสัตว์ประเภทไก่ (สำนวนไก่เขี่ย) เมื่อคำนี้กับเด็กหญิงปรางค์จึงบอกชัดเจนถึงความยากจนและสภาพที่ไม่ต่างจากสัตว์
-เมือง ( ถังขยะ ริมทาง หน้าบ้าน พลเมือง ซอกซอย เมือง)
-ขยะ (ขยะ คุ้ยเขี่ย เปลือกลำไย ซองบุหรี่ หุ้นยนต์ ตุ๊กตา)
-ตัวละคร (เด็กหญิงปรางค์ ผัว-เมีย ‘น้องตุ๊กตา’ วินัย ป้า ลุง)
คำในวงเล็บประกอบขึ้นเป็นชุดคำที่แสดงหนึ่งความคิดหลัก หลายๆ ความคิดหลัก ประกอบขึ้นเป็นเนื้อหาบทเพลง แต่ละความคิดหลักจะมีความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
เมืองนี้เป็นเมืองมัวๆ มีถังขยะเป็นลักษณะของเมือง มี ‘พลเมืองดี’ นั่งดูเด็กคุ้ยเขี่ยถังขยะ (ในเพลงใช้คำว่าดูเหมือน การอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น ไม่สามารถแน่ใจว่า เป็นพลเมืองดีหรือไม่ เป็นได้แค่ดูคล้าย) การมีเด็กคุ้ยเขี่ยถังขยะนั้นไม่ควรจะเป็นความปกติของเมือง กริยา ‘คุ้ยเขี่ย’ นอกจากจะใช้กับคนที่จำเป็นจะต้องไปเก็บของจากกองขยะเพื่อนนำไปขายต่อ เพื่อเป็นรายได้ยังชีพแล้ว คำนี้ยังเป็นกริยาของสัตว์ประเภทไก่ (สำนวนไก่เขี่ย) เมื่อคำนี้กับเด็กหญิงปรางค์จึงบอกชัดเจนถึงความยากจนและสภาพที่ไม่ต่างจากสัตว์
อย่างไรก็ตามความเป็นคนมีอยู่ในตัวเด็กผู้หญิง นั่นคือการมีความฝันและมีใจที่ ‘ใสสะอาด’ ตุ๊กตาจึงเป็น ‘น้องตุ๊กตา’ เป็นผู้นำทาง ส่วน ‘ขยะในถังที่ตั้งริมทาง’ ระบุโลกแห่งความจริง (Reality) ‘ขยะในถังตั้งอยู่ในใจ’ บอกโลกแห่งความฝัน (Fantasy)
ในชุดคำตัวละคร ผู้ที่มีความสัมพันธ์ ฉันญาติกับเด็กหญิงปรางค์คือลุง ซึ่งไม่ชัดเจนว่าชื่อ ‘มา’ หรือไม่และ ’วินัย’ ลูกชายของทั้งสอง ในเนื้อเพลงไม่ได้กล่าวถึงพ่อและแม่ของเด็กหญิงปรางค์ แต่กล่าวว่าถ้าเด็กหญิงคนนี้ได้ตุ๊กตาขาดแขน ขาดลูกตา ลุงจะทำหน้าที่ซ่อมแซม (ช่วยเสริมเติมแต่ง) ตีความได้ว่า เด็กหญิงปรางค์อยู่ในความดูแลของลุงและป้า ซึ่งคงมีความเมตตาพอสมควร แต่ผู้ที่เติมแต่งความฝันของเด็กน้อยได้นั้นไม่ใช่ลุงและป้า หากแต่เป็นตุ๊กตา ชีวิตของเด็กหญิงปรางค์คงดำเนินไปอย่างมีความสุข (ในความรู้สึกของเด็กหญิง)
ตัวละครผัว-เมีย เจ้าของบ้านซึ่งมีถังขยะตั้งอยู่หน้าบ้านนั้น ‘นั่งดูเหมือนพลเมืองดี’ การไม่มาขับไล่ก็แสดงถึงความเป็นพลเมืองดีเพียงพอแล้วสำหรับ ‘เมืองมัวๆ’ เมืองนี้ ชุดคำทั้งสามชุดนี้ได้ร่วมกันสร้างโลกของชนชั้นล่าง ที่ยากไร้ได้อย่างชัดเจน ในภาคดนตรีเพลงที่เป็นส่วนของทำนอง ใช้การเกากีตาร์อย่างเอื่อยๆ ในแบบกีตาร์โฟล์ค เพื่อให้สอดรับกับการเล่าเรื่องในเพลง
ในชุดคำตัวละคร ผู้ที่มีความสัมพันธ์ ฉันญาติกับเด็กหญิงปรางค์คือลุง ซึ่งไม่ชัดเจนว่าชื่อ ‘มา’ หรือไม่และ ’วินัย’ ลูกชายของทั้งสอง ในเนื้อเพลงไม่ได้กล่าวถึงพ่อและแม่ของเด็กหญิงปรางค์ แต่กล่าวว่าถ้าเด็กหญิงคนนี้ได้ตุ๊กตาขาดแขน ขาดลูกตา ลุงจะทำหน้าที่ซ่อมแซม (ช่วยเสริมเติมแต่ง) ตีความได้ว่า เด็กหญิงปรางค์อยู่ในความดูแลของลุงและป้า ซึ่งคงมีความเมตตาพอสมควร แต่ผู้ที่เติมแต่งความฝันของเด็กน้อยได้นั้นไม่ใช่ลุงและป้า หากแต่เป็นตุ๊กตา ชีวิตของเด็กหญิงปรางค์คงดำเนินไปอย่างมีความสุข (ในความรู้สึกของเด็กหญิง)
ตัวละครผัว-เมีย เจ้าของบ้านซึ่งมีถังขยะตั้งอยู่หน้าบ้านนั้น ‘นั่งดูเหมือนพลเมืองดี’ การไม่มาขับไล่ก็แสดงถึงความเป็นพลเมืองดีเพียงพอแล้วสำหรับ ‘เมืองมัวๆ’ เมืองนี้ ชุดคำทั้งสามชุดนี้ได้ร่วมกันสร้างโลกของชนชั้นล่าง ที่ยากไร้ได้อย่างชัดเจน ในภาคดนตรีเพลงที่เป็นส่วนของทำนอง ใช้การเกากีตาร์อย่างเอื่อยๆ ในแบบกีตาร์โฟล์ค เพื่อให้สอดรับกับการเล่าเรื่องในเพลง