"การใช้กำลังทหารกดดันในพื้นที่ถือว่าเป็นการดำเนินการที่ถูกทางแล้ว สถานการณ์ในพื้นที่จะสงบเพราะฝ่ายที่เคลื่อนไหวถูกกวาดจับไปหมด ส่วนแกนที่เหลือทำงานได้ไม่สะดวก"
เป็นการวิเคราะห์ของแหล่งข่าวใกล้ชิดของ "กลุ่มใต้ดิน" รายหนึ่งที่เปิดเผยว่า การเปิดยุทธการของเจ้าหน้าที่ทำให้การเคลื่อนไหวของกลุ่มใต้ดินเป็นไปอย่างยากลำบาก ทั้งในส่วนของปีกการเมืองซึ่งคอยกำกับทิศทางภายในหมู่บ้าน และปีกทางการทหารที่ทำหน้าที่ก่อเหตุไม่สงบอย่างได้ผลในเขตพื้นที่สีแดงจัด อย่าง อ.บันนังสตา จ.ยะลา และ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ประเมินได้จากสถานการณ์ในหมู่บ้านสงบลง
แต่ใช่ว่าความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะทุเลาลงไปในทันใด เพราะเมื่อย้อนวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม 2550 พบว่า แม้การก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่เชิงปริมาณดูเสมือนว่าลดน้อยลง แต่หากพิจารณาในเชิงคุณภาพกลับมีนัยที่น่าจะพิจารณา
8 สิงหาคม 2550 นางอัจฉรา สกนธวุฒิ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารสาธารณสุข ระดับ 7 หัวหน้าสถานีอนามัยบ้านบราโอ ต.ประจัน อ.ยะรัง จ.ปัตตานี และ นายเบญจพัฒน์ แซ่ติ่น ตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุข ระดับ 5 ที่ถูกคนร้ายบุกยิงเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่อยู่บนสถานีอนามัย
1 กันยายน 2550 นายปิยะพงศ์ เพชรเงิน อายุ 22 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เอกพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (มอ.ปัตตานี) ถูกคนร้ายประกบยิงระหว่างเดินทางจากตัวเมืองปัตตานีไปพร้อมเพื่อน 4 คน ขี่รถจักรยานยนต์ 2 คัน เดินทางเพื่อทำธุระในตัวเมืองยะลา บนถนนสาย 410 บ้านต้นมะขาม ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี
3 กันยายน 2550 นายฉลอง อาภากร อายุ 53 ปี ศึกษานิเทศก์ สำนักงานพื้นที่การศึกษา (สพท.) ปัตตานี เขต 3 อ.สายบุรี ถูก 2 คนร้ายซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ใช้อาวุธปืนจำนวน 2 นัด ขณะเดินเล่นอยู่หน้าบ้านพัก พื้นที่หมู่ที่ 2 บ้านสาละวัน ต.ไทรทอง อ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี จนเสียชีวิตระหว่างนำส่งโรงพยาบาล
เกิดเหตุปล้นเวชภัณฑ์ จากศูนย์สาธารณสุขเทศบาลเมืองเบตง จ.ยะลา จำนวน 21 รายการเจ้าหน้าที่ได้ติดตามความเคลื่อนไหวกลุ่มแนวร่วม พบว่าแนวร่วมได้กระจายกำลังออกกว้านซื้อยาและเวชภัณฑ์ รวมถึงบุกงัดแงะและขโมยยา อุปกรณ์เครื่องมือแพทย์พื้นฐาน ตามสถานีอนามัยและศูนย์สาธารณสุขในแต่ละพื้นที่

4 กันยายน 2550 นางนิภาภรณ์ นาคทอง อายุ 59 ปี พัฒนากร อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี ถูกคนร้าย 2 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบยิงขณะกำลังมุ่งหน้ากลับบ้านพักที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี บริเวณหน้าโรงเรียนบ้านทรายขาว ริมถนนสายทุ่งยางแดง-กลาพอ หมู่ที่ 2 บ้านปาเซปูเต๊ะ ต.ปากู อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี จนเสียชีวิต
นายสุวิทย์ วงศ์สนิท อายุ 35 ปี อาจารย์อัตราจ้างวิทยาลัยเทคนิคปัตตานี ถูก 2 คนร้ายขี่รถจักรยานยนต์ประกบยิง เสียชีวิตบนถนนสายปัตตานี-หนองจิก หมู่ที่ 7 ต.ดอนรัก อ.หนองจิก จ.ปัตตานี
นัยสำคัญของเหตุการณ์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ ความเปลี่ยนแปลงต่อเหยื่อความรุนแรง ซึ่งเป็น "เป้าหมาย" ใหม่ที่อ่อนแอและเป็น "สัญญะ" ของผู้บริสุทธิ์ตามการรับรู้ทั่วไปในสังคมดังกรณีของ "นักศึกษา" เป็นผู้อุทิศตนเพื่อสังคมในกรณีของ "บุคลากรทางการศึกษา" และผู้ดำรงความเป็นกลางอย่างเท่าเทียมในกรณีของ "บุคลากรสาธารณสุข" ซึ่งมิใช่เป้าหมายที่เป็นคู่ปฏิปักษ์ที่ต้องสู้รบ
ขณะที่นัยสำคัญเชิงพื้นที่ คือ เหตุการณ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นใน จ.ปัตตานี ซึ่งอยู่นอกพื้นที่เปิดยุทธการปราบปรามกับผู้ก่อความไม่สงบ
แหล่งข่าวผู้ใกล้ชิดของ "กลุ่มใต้ดิน" คนดังกล่าววิเคราะห์ต่อว่า การจำกัดพื้นที่อย่างแข็งแกร่งเช่นนี้จะส่งผลให้กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบต้องปรับยุทธวิธีด้วยการทำร้ายอย่างไม่จำกัดเพศ วัย กลุ่มอาชีพ และกระจายไปสู่พื้นที่อื่นๆ ที่เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้เข้มงวดนัก และเป้าหมายจะไม่จำเพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพื่อปลุกปั่นสถานการณ์ให้ยากที่จะควบคุม
"พวกเขาจะฆ่าไม่เลือกเพราะต้องการให้เกิดความอลหม่านวุ่นวายให้มากที่สุด" แหล่งข่าวกล่าว
นายพระนาย สุวรรณรัฐ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) วิเคราะห์ว่า ลักษณะพื้นที่เหล่านี้เกิดใน จ.ปัตตานี เพราะเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ยังไม่มีการเปิดยุทธการ จึงมีการกระจายตัวเข้ามาสู่เขตดังกล่าว และกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเลือกจะเอากลุ่มเป้าหมายนี้บอบบางและอ่อนไหว (soft target) เป็นเหยื่อใหม่ๆ เช่น พัฒนากร สาธารณสุข ศึกษานิเทศก์ ซึ่งไม่มีความสามารถในการปกป้องตนเอง
“ต้องเห็นใจเจ้าหน้าที่ เพราะสิ่งที่เราต้องเข้าไปปกป้องมีมาก ไม่รวมสถานที่ สิ่งของสิ่งก่อสร้าง คนที่เราต้องดูนี่คือคนจำนวน 2 ล้านคนที่อยู่ในพื้นที่ เพราะฉะนั้นผู้ที่ดูแลก็จะเหนื่อยมาก เพราะกลุ่มเป้าหมายมันกว้าง”
ผอ.ศอ.บต. มองว่า แม้การก่อเหตุที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะน้อยลง แต่ก็เป็นเพียงในเชิงปริมาณเท่านั้น แต่ในเชิงคุณภาพนั้นต้องทำการเฝ้าระวังให้มากขึ้น เพราะแม้การก่อเหตุจะน้อยลงแต่หากต้องสูญเสียบุคลากรที่มีความสำคัญ ก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรที่จะปล่อยให้เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม เขามองว่าการดำเนินยุทธวิธีของผู้ก่อความไม่สงบเช่นนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างไร้ทิศทาง ถือได้ว่าเป็นยุทธวิธีหนึ่งที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบพลิกแพลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่เริ่มจับรูปแบบได้หรือตามทัน อีกฝ่ายก็จะเปลี่ยนทันที สิ่งที่สำคัญจึงต้องใช้ความอดทนและอย่าให้ความเคยชินในชีวิตประจำวันมาทำให้เกิดความประมาท เพราะเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
"จะไปวิเคราะห์ว่าเขาสะเปะสะปะคงไม่ได้ เพราะเราจะต้องประเมินฝ่ายตรงกันข้ามสูงกว่าเราเสมอ ต้องไม่ลืมว่าเราไม่ได้ต่อสู้อยู่กับคนโง่ แต่ไม่ใช่ระวังไปจนถึงขั้นว่าเกร็งไปหมด และต้องรอบคอบให้มาก ต้องมีการประเมินสถานการณ์ทุกระยะ และใช้ฐานข้อมูลประกอบให้มากขึ้น"
นายปัญญศักย์ โสภณวสุ นักวิจัยโครงการความมั่นคงศึกษาให้ความเห็นว่า เป้าหมายที่ถูกผู้ก่อความไม่สงบทำร้าย แต่ละคนถูกคัดเลือกอย่างมีแบบแผน แต่ละบุคคลที่ถูกทำร้ายจะมีคำอธิบายกำกับให้เห็นถึงความชอบธรรมในการที่จะปฏิบัติการในแต่ละครั้ง ซึ่งต้องใช้ความพยายามถอดรหัสปฏิบัติการนั้นให้ได้
"เป้าหมายที่ถูกเลือกมีคำตอบอยู่ในตัว แต่จะต้องสืบสาวไปให้ได้ว่าเหยื่อที่ถูกทำร้ายหากวิเคราะห์ให้ดีจะพบว่าเหยื่อหลายรายมีสายสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นศัตรูของขบวนการ เช่น เป็นลูกของเจ้าหน้าที่ทหารหรือตำรวจ และเหยื่อบางคนก็มีข้อกังขาว่ามีพฤติกรรมเป็นสายลับ ซึ่งพวกเขาไม่ลังเลที่จะกำจัด"
ด้าน นายอัฮหมัดสมบูรณ์ บัวหลวง นักวิชาการสันติวิธีและอดีตคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์ กล่าวว่า เป็นการยากที่จะตีความว่าการทำร้ายเป้าหมายที่ขยายไปหลายกลุ่มมากขึ้นนั้นมีความหมายถึงอะไร เช่นเดียวกับการพยายามแสวงหาคำตอบว่า การเผาโรงเรียนนั้นหมายถึงอะไร แต่ส่วนหนึ่งน่าจะหมายถึงการแสดงอำนาจให้ชาวบ้านตกอยู่ในความหวาดกลัวว่าทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะตกเป็นเป้าหมายของความรุนแรง
"ผมมองว่ามันเป็นการกระทำที่สะเปะสะปะ เป็นการรบที่ไม่มีกฎเกณฑ์ เป็นการทำเพื่อทำลายขวัญของประชาชนให้รู้สึกหวาดกลัว เป็นการแสดงให้เห็นว่าความรุนแรงสามารถที่จะเกิดขึ้นได้ในทุกพื้นที่เท่าๆ กัน"
อดีต กอส. กล่าวอีกว่า หลายฝ่ายคงต้องร่วมกันคิดเพื่อแสวงหาคำตอบเพื่อนำไปสู่การเฝ้าระวังและป้องกัน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแลให้มากขึ้น
เพราะไม่ว่าใครในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่างก็ต้องยืนอยู่บนความ "เสี่ยง" อย่างเท่าเทียม
**************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น